วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558
วิธีถนอมและยืดอายุใช้งานแอร์รถ
การใช้งานและดูแลเรื่องระบบแอร์ตามจุดเล็กๆน้อยๆก็สามารถยืดอายุการใช้งานได้ เช่นไม่ปรับตำแหน่งของเทอร์โมสตรัทไปที่ COOL อยู่ตลอดเวลาจะช่วยถนอมคอมเพรสเซอร์ไม่ให้ทำงานหนักขึ้น อาจใช้วิธีปิดการทำงานของคอมฯแอร์แต่ยังเปิดพัดลมอยู่ก่อนที่จะจอดรถอย่างน้อยประมาณ 5 นาที จะช่วยยืดอายุการใช้งานของคอมเพรสเซอร์ และลดกลิ่นอับชื้นและเชื้อราได้ด้วย และหมั่นล้าง ตรวจเช็คระบบแอร์สม่ำเสมอ เมื่อเริ่มพบอาการผิดปกติรีบนำรถไปพบช่างอย่าปล่อยไว้นาน มิฉะนั้นท่านอาจจะพบสุภาษิตที่ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" ก็ได้นะ อิอิ
.CONDENSER(แผงแอร์)ควรดูแลอย่างไร
รถวิ่งทางไกลในช่วงเวลากลางคืนหรือวิ่งในที่ที่มีฝุ่นละอองมากๆเช่น ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมักจะมีเศษแมลงหรือสิ่งอุดตันจับอยู่ที่แผง CONDENSER เป็นจำนวนมาก และถ้าไม่ล้างหรือเป่าออกจะทำให้แผง CONDENSER ระบายความร้อนไม่สะดวก การอุดตันจำนวนมากๆระบบแอร์จะระบายความร้อนไม่ดี วิธีทำความสะอาดเบื้องต้นคือใช้น้ำฉีดล้างภายนอกไม่ต้องถอดออกมา หรืออีกวิธีคือซื้อน้ำยาล้างแผงมาล้างจะทำให้แผงสะอาดและระบายความร้อนความร้อนได้ดีขึ้น แต่การไม่สามารถทำเองได้แนะนำให้ไปที่ร้านแอร์ที่ท่านไว้วางใจ
พัดลมกับคอมเพรสเซอร์ของคู่กัน
อายุและการใช้งานของพัดลมระบบแอร์รถยนต์ และพัดลมระบบความร้อนหม้อน้ำรถบางรุ่น อาจทำงานคู่กันเหมือนเป็นการทำงานเป็นระบบ และเมื่อมีอาการเสียงดังแก๊กๆหรือรอบพัดลมตกไหมหรือมีเสียงเสียงดังไหม รถบางรุ่นถเาพัดลมหน้า CONDENSER เสียจะส่งผลต่อระบบแอร์โดยตรง ทำให้ระบบระบายความร้อนไม่ได้ เกิดความร้อนขึ้นหรือที่เรียกว่า "ฮีท" จะส่งผลต่อ COMPRESSOR ทำให้เกิดแรงดันสูงเกิดการรั่วผิดปกติตามมา ในที่สุดระบบแอร์ก็เสีย คอมน็อค เป็นต้น
จะล้างตู้แอร์แบบไหนดี
ตามหลักการ การถอดตู้แอร์ออกมาล้างย่อมสะอาดกว่า เนื่องจากเป็นการถอดชิ้นส่วน รวมถึงส่วนเล็กๆออกมาทำความสะอาด ส่วนล้างแบบไม่ถอดนั้นจะสะดวกและประหยัดเวลากว่าแต่ความสะอาดหมดจดคงต่างกันแน่นอน แต่ถ้าคุณดูแลรักษาตู้แอร์เป็นประจำ ล้างแอร์เป็นประจำอยู่แล้วการล้างโดยไม่ถอดตู้ก็คงจะเพียงพอที่จะช่วยให้ตู้แอร์คุณมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นได้ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มที่ได้เพราะระยะเวลาทุกๆ 20,000 กม. คราบสกปรกคงไม่มากนัก แต่ในความเป็นจริงของผู้ใช้รถ น้อยคนนัก
ต้องบอกว่าน้อยถึงน้อยมากที่จะดูแลและไม่เคยล้างเลยแล้วจู่ๆมีอาการแอร์ตันขึ้นมา อย่างนี้แน่นอนว่าคราบสิ่งสกปรกมันคงมีมาก ก็ควรที่จะถอดมาล้างจะดีกว่า
ตู้อลูมิเนียมกับตู้ทองแดงต่างกันอย่างไร
ท่านผู้ใช้รถคงต้องมีการสงสัยกันบ้าง รถรุ่นก่อนๆทำไมตู้แอร์ใช้ได้ทนทานเป็น 10 ปี แต่เดี๋ยวนี้อาจมีบ่นว่ารถเพิ่ง 5 ปีเอง ตู้รั่วมีปัญหาซะแล้ว ข้อดีของตู้อลูมิเนียมก็มีคือเปิดปุ๊บเย็นปั๊บ และตู้ที่ทำจากทองแดงมีความทนทานต่อการผุกร่อนมากกว่าอลูมิเนียม แต่ในเรื่องของน้ำหนักและคุณสมบัติในการนำความร้อนต้องยอมรับว่าทองแดงด้อยกว่าอลูมิเนียม แต่ในปัจจุบันมีตู้บางรุ่นใช้วิธีผสมผสานโดยใช้วิธีแก้จุดด้อยคือบริเวณท่อน้ำยาที่คดไป-มา ซึ่งมักจะผุกร่อนง่ายก็จะใช้ทองแดง แต่ครีบจะทำจากอลูมิเนียม เพราะมีการนำความร้อนได้ดีกว่านั่นเอง
ปัญหาคลัตซ์แอร์ผิดปกติ
การขับรถลุยน้ำบ่อยๆนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คลัตซ์คอมฯแอร์เป็นสนิมได้และอาการแมกเนติกคลัตซ์มีการลื่นไถลหรือมีการตัดต่อบ่อยอาจจะไม่เกี่ยวกับการตั้งอุณหภูมิ แต่อาการลื่นไถลอาจมาจากความสกปรกของหน้าสัมผัส เช่นเป็นสนิมหรือมีวัสดุเข้าไปติดขัด ซึ่งรถบางรุ่นกระมาณ 100,000 กม. หรือบางรุ่น 80,000 กม. ก็เริ่มมีอาการ ก็เริ่มส่งเสียงดังแก๊กๆบ้าง หรือหน้าคลัตซ์จับบ้างไม่จับบ้าง ซึ่งจะส่งผลต่อความเย็นซึ่งหากเกิดอาการเช่นนี้แล้ว แนะนำให้รีบหาผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คด่วน!!
ควรเปลี่ยนดรายเออร์รีซีฟเวอรณ์เมื่อไรดี??
ดรายเออร์มีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกในระบบปรับอากาศโดยกรองสิ่งสกปรกที่ปะปนมาพร้อมๆกันกับสารทำความเย็นในระบบ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ดูดความชื้นทั้เกิดขึ้นในระบบแล้วมาเก็บไว้ที่กระบอกของตัวเอง ซึ่งสารดูดความชื้นนี้มีวันหมดอายุเมื่อถึงจุดอิ่มตัว โดยแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆระยะทางประมาณ 30,000 กม. หรือทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์
ควรเปลี่ยนวาล์วแอร์ตอนไหนถึงจะเหมาะ
ควรเปลี่ยนวาล์วแอร์ตอนไหนถึงจะเหมาะ
ไม่มีอะไรที่จะบอกได้แบบเฉพาะเจาะจง ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อไหร่ เพราะอุปกรณ์ที่สำคัญอย่าง "เอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว" ทางผู้ผลิตรถแนะนำเอาไว้ที่ระยะทางประมาณ 50,000 กม. หรือเป็นเวลาประมาณ 2 ปีกว่า "เอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว" นั้นหากมีปัญหาระบบปรับอากาศรถยนต์จะมัปัญหาตามมามาก บางทีอาจส่งผลต่อระบบการฉีดสารทำความเย็นทำให้เกิดการผิดพลาดได้ นอกจากนั้นสาเหตุสำคัญที่มักจะเสียหายคือการอุดตัน บางครั้งเกิดจากการเสื่อมของสปริงภายในตัววาล์ว แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลย อย่าฝืนใช้เพราะถ้าหากมันงอแงขึ้นมาก็ต้องเสียเวลาในการถอดเปลี่ยนอยู่ดี
ควรล้างตู้แอร์เมื่อไหร่??
ควรล้างตู้แอร์เมื่อไหร่??
หลายท่านสงสัยว่าการลเางทำความสะอาดตู้แอร์สักครั้งจะใช้เงื่อนไขของเวลาหรือระยะทางดี เพราะรถยนต์แต่ละคันก็ผ่านการใช้งานต่างกัน บางคันใช้งานมาแค่ปีเดียว แต่วิ่งเป็นระยะทางกว่า100,000 กม.ก็มี ดังนั้นหากใช้เกณฑ์เฉลี่ย จึงขอแนะนำท่านเจ้าของรถว่าควรทำการล้างตู้แอร์ประมาณทุกๆ 1 ปี หรือราวๆ 20,000 กม. แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ด้วยพร้อมกันเลย เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบแอร์รถยนต์ให้ยาวนาน
เจอรอยรั่วหลังแปลงระบบ
เจอรอยรั่วหลังแปลงระบบ
หากรถของท่านมีระบบเป็น R12 จะเป็นชนิด NER [Nitrile Butadiene Rubber] แต่ระบบของ R134a จะเป็นชนิด HNBR ซึ่งหากเปลี่ยนระบบใหม่แล้ว ไม่เปลี่ยนซีลและโอริงด้วยก็จะทำให้ระบบเกิดการรั่วตามรั่วได้
หากรถของท่านมีระบบเป็น R12 จะเป็นชนิด NER [Nitrile Butadiene Rubber] แต่ระบบของ R134a จะเป็นชนิด HNBR ซึ่งหากเปลี่ยนระบบใหม่แล้ว ไม่เปลี่ยนซีลและโอริงด้วยก็จะทำให้ระบบเกิดการรั่วตามรั่วได้
Compressor air ตัดบ่อย
.พบอาการ Compressor air ตัดบ่อย
สาเหตุมักเกิดจากตัวเทอร์โมสตรัทหรืออุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิเพราะในปัจจุบันรถยนต์มักใช้เทอร์โมสตรัทแบบอิเล็กทรอนิกส์ [Electronics Type] ซึ่งไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ข้อดีของเทอร์โมสตรัทชนิดนี้คือการทำงานจะแม่นยำและละเอียดกว่าแบบอื่นๆ หากท่านนำรถไปล้างตู้แอร์ซึ่งเพื่อความสะอาด ช่างจำเป็นต้องทำการถอดชิ้นส่วนต่างๆออกจากกัน แต่ช่างบางท่านที่ไม่ชำนาญอาจถอดออกแล้วติดตั้งคืนไม่ถูกตำแหน่งเดิม อาจติดตั้งตัววัดอุณหภูมิชิดกับครีบอีแวปพอเรเตอร์ทำให้เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงานโดยเฉพาะในเวลาที่ระบบเครื่องสูงๆจะเกิดอาการตัดบ่อย ส่งผลต่อการทำงานของระบบแอร์
ว๊าว ! คราบน้ำมัน บริเวณ ข้อต่อ ต่าง ๆ ต้องแก้ไข
คราบน้ำมันตามข้อต่อที่พบจะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีการรั่วของสารทำความเย็นเกิดขึ้น ดังนั้นท่านเจ้าของรถควรสังเกตว่าตามข้อต่อระหว่างชิ้นส่วนต่างๆในระบบแอร์มีคราบน้ำมันหรือไม่ เพราะน้ำมันคอมเพรสเซอร์จะปนอยู่กับสารทำความเย็นในระบบ ดังนั้นเมื่อสารทำความเย็นรั่วก็จะเกิดคราบน้ำมันปรากฏให้เห็น วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือถ้าพบจุดรั่ว หรือคราบน้ำมันต้องทำการขันข้อต่อให้แน่น เพื่อที่จะหยุดการรั่วของสารทำความเย็น จุดที่สามารถพบเห็นการรั่วได้บ่อยๆคือ ตามจุดข้อต่อต่างๆของท่อแอร์ ตามซีลและประเก็นของคอมเพรสเซอร์ ถ้าไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้หรือไม่มั่นใจว่าจะแก้ไขได้เรียบร้อย ควรนำรถไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือร้านแอร์ที่ท่านสามารถไว้วางใจได้ตรวจเช็ค
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)